วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แปลกคน

คนเรานี้ก็แปลก แต่มันคือเรื่องจริง

หมดเงิน 5 แสนไปกับการซื้อรถ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 5 หมื่นไปกับการซื้อมอเตอร์ไซค์ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 1-2 หมื่นไปกับการซื้อโทรศัพท์ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 1 พันไปกับการซื้อเสื้อผ้า เป็นเรื่องปกติ

แต่หากต้องหมดเงินสักพันสองพัน
ไปการทำชีวิตให้ตัวเองดีขึ้น
เรากลับส่ายหัวและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
"แพงไป!"
"ไม่มีเงินหรอก!"
"เสียดายเงิน!"

"เอาไว้ก่อน" ซื้อของฟุ่มเฟือยก่อน

เวลาจากไป คนไปงานศพ

ไม่เห็นมีใครถามว่า
คนตายใส่เสื้อยี่ห้ออะไร
ใช้โทรศัพท์ รุ่นไหน

ชีวิตของเรา มีค่าน้อยกว่า รถยนต์
มอเตอร์ไซค์หรือโทรศัพท์หรืออย่างไร???
หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างค่าของเงินอยู่ตรงไหน???

ไม่ว่าข้อความบทนี้
จะให้ความสุขหรือให้ความทุกข์แก่คุณ
แต่ขอให้จดจำไว้ มีเรื่องราวอีกมากมายที่สำคัญกว่าเงินทอง!

Holiday2win.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรามารู้จักกุ้งเครย์ฟิชกันก่อน

Blog - www.tic.co.th

กับกุ้งเครย์ฟิช

เริ่มแรกเรามารู้จักกุ้งเครย์ฟิชกันก่อน กุ้งเครย์ฟิช เป็นกุ้งน้ำจืดจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมลำตัวใหญ่ เปลือกหนาก้ามใหญ่แลดูแข็งแรง มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป โอเซียเนีย และบริเวณใกล้เคียง





ไบร์ท ออเรนจ์ ลักษณะลำตัวจะเป็นสีส้มทั้งตัว




บลู อัลเลนี่ ลักษณะลำตัวจะเป็นสีฟ้าทั้งตัว


กุ้งสโนว์ไวท์ ลักษณะลำตัวจะเป็นสีขาวทั้งตัว


ขั้นแรกเราต้องมาดูอุปกรณ์ในการเลี้ยงกุ้งกันก่อน

1) ภาชนะในการเลี้ยงกุ้ง เช่น ตู้กระจกเลี้ยงปลาขนาด 12 นิ้ว ขึ้นไป

2) เครื่องให้ออกซิเจน สำหรับการเลี้ยงกุ้งในตู้กระจก

3) ลูกกรวดหรือหินก้อนเล็กๆ เอาไว้รองพื้นในตู้กระจก

4) ท่อนไม้ที่เป็นโพรง, ท่อPVC, กระถางดินเผา

5) อย่าลืมเลือกสีของกุ้งที่เราชอบ

แหล่งซื้อ : ตลาดสวนจตุจักร ,ตลาดจตุจักร2 มีนบุรี


เมื่อได้อุปกรณ์ครบแล้วก็จัดตู้ตามความต้องการของเราได้เลย

การเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช

  • การเลี้ยงในตู้เลี้ยงปลา ควรจะใช้ตู้ที่มีขนาด 12 นิ้วขึ้นไป และมีระบบกรองน้ำในตัว อุณหภูมิน้ำในการเลี้ยงกุ้งประมาณ 23-28 องศา ในแต่ละตู้จะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชได้เพียง 1-2 ตัวเท่านั้น เนื่องจากนิสัยของกุ้งเครย์ฟิชจะคล้ายกับปลาหมอสีที่มักจะหวงถิ่น และชอบรังแกตัวที่อ่อนกว่า
  • การเลี้ยงในท่อน้ำ สามารถเลี้ยงได้มากกว่า 5 ตัวขึ้นไปได้ ควรเลือกเลี้ยงกุ้งสายพันธ์เดียวกัน ไซค์ใกล้กัน เพื่อให้มันปกป้องตัวเองได้ และต้องมีขอนไม้ กระถางดินเผา หรือท่อPVCตัดเป็นท่อนๆ ให้กุ้งหลบอาศัยในเวลากลางวันและเวลาลอกคราบ

อาหารที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้ง

กุ้งเครย์ฟิช กินอาหารได้แทบทุกชนิด นิสัยของกุ้งจะกินอาหารได้ทั้งวันแต่ในธรรมชาติ มันจะกินอาหารประเภทพืชผัก รากไม้ ใบไม้ เป็นหลักและอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก้ เนื้อหมู เนื้อปลา หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นอาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมน้ำสูตรต่างๆ ดั่งเช่น

1.
อาหารกุ้งชนิดจมน้ำ

- Turtle Feed (เทอเทิ้ลฟิด) เป็นอาหารสำหรับเต่า ตะพาบ และกุ้งสวยงามทุกชนิด เพิ่มแคลเซียม ทำให้กระดูกและเปลือกแข็งแรง โครงสร้างสมบูรณ์ และมีสีสวยงาม สัตว์ไม่ป่วยง่าย สุขภาพแข็งแรง ลักษณะอาหารกุ้ง เป็นเม็ดเล็กๆ ใส่ลงในน้ำจะจมน้ำทันที



2. อาหารสด ชนิดสิ่งมีชีวิต

- หนอนแดง อาหารสดสำหรับกุ้ง เป็นอาหารที่มีกลิ่นคาวสูง เป็นที่ชื่นชอบของกุ้ง หนอนแดงเป็นอาหารแช่แข็ง มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ถ้าจะให้กุ้งเครย์ฟิชกินแค่แกะจากช่อง แล้วใส่ไปในตู้เลี้ยงได้เลยมันจะละลายกับน้ำและแตกแยกออกเป็นตัวๆเอง

- กุ้งฝอย กุ้งฝอยสามารถใส่ไปในตู้ที่เลี้ยงกุ้งแบบเป็นๆ ได้เลย เนื่องจากเวลากุ้งเครย์ฟิชมันหิวก็จะจับกุ้งฝอยกินเองแบบอัตโนมัติ หรือไม่เราก็ใส่ให้กินเองในแต่ละมื้อไปก็ได้

3.อาหารสด ชนิดไม่มีชีวิต

- สาหร่าย สาหร่ายนับเป็นอาหารที่ยอดฮิตอีกชนิดหนึ่ง โดยส่วนใหญ่นิยมให้อาหารชนิดนี้ติดเอาไว้ประจำตู้เล้ยง มันเป็นอาหารที่มีชีวิตสามารถเติบโตได้ ให้กุ้งกินได้เรื่อยๆ

- ใบหูกวาง ใบหูกวาง เป็นใบไม้ชนิดหนึ่งที่กุ้งเครย์ฟิชสามารถกินได้ เลือกใบหูกวางที่แก่ๆ ที่ใบมันหล่นหรือล่วงมาเองตามธรรมชาติ นำใบหูกวางมาล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงไปในตู้เลี้ยงหรือท่อเลี้ยงได้เลย หาอะไรมาวางทับไว้ก่อนเพื่อกันไม่ให้ใบหูกวางมันลอย แต่ถ้ากลัวน้ำในตู้เลี้ยงจะเหลือง ให้เอาใบหูกวางไปแช่น้ำไว้ในถังสักสองวันแล้วค่อยเอาไปให้กุ้งกินก็ได้

รายละเอียดข้างต้นหากใครสนใจก็สามารถเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชได้แล้วนะค่ะ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีเพาะพันธุ์โกส.



1.การเตรียมพ่อพันธุ์
- สำหรับผู้ที่เลี้ยงเล่นๆ เลี้ยงน้อย ก็เลือกเอาตามความชอบ ตัวไหนหล่อ ตัวไหนสวย ก็เลือกเอาตามใจได้เลย ส่วนสำหรับผู้ที่คิดจะเพาะในระดับเยอะๆ ต้องเตรียมพ่อพันธุ์ไว้หลายขนาด ต้องฟอร์มกันตั้งแต่เล็ก เนื่องจากตัวผู้ เมื่อผสมแล้ว มันจะหยุดการกินเพื่อเจริญเติบโต แต่จะกินอาหารเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น ส่วนตัวเมียมันจะโตไปเรื่อยๆ ดังนั้นหากท่านอยากได้พ่อพันธุ์ตัวใหญ่ๆ ต้องนำไปเลี้ยงแยกขังเดี่ยวตัวเดียว ห้ามให้มันได้กลิ่นตัวเมียเด็ดขาด ม่ายงั้นมันจะหยุดกิน และจะอยากผสมทันที เมื่อขุนได้ไซด์ตามที่ต้องการแล้ว ก็นำมาลองเข้าคู่ได้ ในพ่อพันธุ์หนุ่มน้อยวัยคะนอง มักจะเข้าหาตัวเมียด้วยความรุ่นแรง ออกแนวกระชากลากถู หากท่านกลัวตัวเมียจะช้ำใน หรือสูญเสียอวัยวะ ก้าม ขา หรือมีอันเป็นไป ก็ให้หากุ้งสีธรรมดา มาเป็นคู่ซ้อมให้พ่อพันธุ์ของท่านก่อนนะครับ พอกุ้งตัวผู้ที่มีความช่ำชอง เขาจะเข้าหาตัวเมียด้วยความนิ่มนวลกว่า จะเข้าทางด้านข้าง และจะผสมในระยะเวลาที่นานกว่า น้ำเชื้อก็จะถูกฉีดไปได้ในจำนวนที่สม่ำเสมอ และทั่วถึง
2.การเตรียมแม่พันธุ์
- อันนี้ก็คงไม่ยุ่งยาก ตัวเมียตัวไหน ก็คงจะตั้งท้องได้หมดนั่นแหละครับ ก็เลือกเอาตามใจชอบได้เลย ตัวเมียเงื่อนไขค่อนข้างน้อย จะก้ามไม่เท่า ก้ามเดียว ปากเบี้ยว ตาเหล่ ก็สามารถจ่ายลูกกุ้งที่สวยงามได้
3.การเลี้ยงก่อนผสม
- ในขั้นนี้หากจะให้ได้ผลที่สุด แนะนำให้แยกเลี้ยงนะครับ ช่องละตัว กล่องละตัว หรือยังไงก็ได้ ให้มันอยู่ตัวเดียว จะเป็นการดีที่สุด ส่วนท่านอื่นจะเลี้ยงรวมก็ไม่ว่ากัน
4.อุณหภูมิ
- อันนี้สำคัญสุด กุ้งเครฟิชเป็นสัตว์เลือดเย็น เป็นสัตว์กินซากที่หากินในเวลากลางคืน (โทดๆๆๆ จะเข้าวิชาเกินอยู่เรื่อย) ง่ายๆคือ ธรรมชาติกุ้งชอบอากาศเย็น กุ้งสามารถเติบโตในอุณหภูมิปรกติบ้านเราได้ แต่ไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้ดีนัก เนื่องจากโกส เป็นกุ้งเครฟิช ที่มีลักษณะยีนส์ด้อยมากๆ ทำให้เพาะติดยาก หากท่านใด เลี้ยงในห้องแอร์ หรือในสถานที่ควบคุมอุณหภูมิ ก็จะได้เปรียบ เนื่องจากสัตว์เลือดเย็น จะชอบอากาศเย็น และชื้น เพื่อสะสมสารอาหารไปสร้างไข่ในตัวเมีย และน้ำเชื้อในตัวผู้ หากท่านใดที่ติดหลอดไฟประดับตู้อยู่ด้านบน ก็ขอให้เอาออกนะครับ เนื่องจากกุ้งมันไม่ชอบ มันกระซิบบอกมาว่า "มึงจะติดทำไม กูไม่ชอบแสง ทำให้อุณหภูมิน้ำขึ้นอีกต่างหาก" หากท่านที่ไม่ได้ติดแอร์ หรือชิลเลอร์ ก็ขอแนะนำโดยการเพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น ใส่ทรายทะเล ลงในก้นภาชนะ เพื่อให้อุณหภูมิด้านล่างพื้นเย็นขึ้น
5.จะผสมตอนไหนดี
- ตัวผู้คงไม่ต้องพูดถึง มันพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนตัวเมีย โดยส่วนตัวผมผสมทีเดียว ดอกเดียว เสียวแน่นอน เนื่องจากน้ำเชื้อตัวผู้ เมื่อผสมไปแล้ว จะถูกเก็บอยู่ในตัวเมียได้ประมาณ 30 วัน ถามว่าจะดูยังไง ก็คือ กุ้งตัวเมีย เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ จะเร่งการกิน เพื่อสร้างไข่ไปเก็บไว้บนหัว สิ่งที่บ่งบอกว่ากุ้งมีไข่ ก็คือฝ้าที่หาง ยิ่งฝ้าหนาๆ ลงระยางมากๆ ก็แปลว่ากุ้งมีไข่บนหัวรอไว้แล้ว (ไม่เชื่อไปแกะดู อิอิ) เมื่อท่านเห็นฝ้ามาแล้ว ให้ใจเย็นๆ รอจนกว่ากุ้งตัวเมียไม่ทานอาหาร นั่นแปลว่า ไข่พร้อม กุ้งสะสมสารอาหารไว้พร้อมหมดแล้ว ให้จับลงไปผสมได้เลย เทคนิคคือ ให้จับตัวเมีย ไปใส่ในช่องของตัวผู้ เนื่องจากกุ้งมีนิสัยเป็นสัตว์หวงถิ่น หากท่านจับตัวผู้ไปผสมที่อื่น ตัวไหนผสมก็ดีไป แต่บางตัวเขาจะตื่นสถานที่ พาลไม่ผสม หรือทำร้ายตัวเมียเลยก็มี เมื่อผสมเสร็จแล้ว ก็นำตัวเมียเก็บออกไปรอไข่ได้เลย ไม่ต้องนำกุ้งตัวเมียมาผสมบ่อยนะครับ เพราะกุ้งจะช้ำ และอาจจะขับไข่ไม่ออกตายได้เลยนะ
6.เมื่อไหร่มันจะไข่? ดูยังไง?
- อาการกุ้งตัวเมีย เมื่อจะไข่ กุ้งจะไปเก็บตัวอยู่ทีท่อหลบ โก่งตัว หุบหางเข้าหาลำตัว ในวันก่อนไข่ 1-2 วัน กุ้งจะเอาขาหลัง 4 ขา มาหยิบจับทำความสะอาดบริเวณระยางว่ายน้ำ ในช่วงนี้ก็คือไม่ต้องให้อาหารแล้วนะครับ ใส่สาหร่าย และใบหูกวางไว้ก็พอ เนื่องจากใส่อาหารน้ำเน่า ส่วนสาหร่ายกับใบหูกวางไม่ทำให้น้ำเสีย หากสภาวะแวดล้อม อุณหภูมิเหมาะสม กุ้งก็จะขับไข่พร้อมเมื่อกหุ้มไข่ที่สมบูรณ์ออกมาแน่นอน
7.ไข่แล้วทำไงต่อ ตื่นเต้นจัง เซลฟี่ได้มั้ย?
-เมื่อท่านเห็นกุ้งไข่ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน หาอะไรไปปิดบังสายตามันไว้ ไม่ให้เขาเห็นเรา เอากระดาษโน๊ตจดวันที่ไข่แปะไว้หน้าตู้ แล้วก็แกล้งลืมมันไปเลย อย่าจับมันมาเล่นหรือถ่ายรูปเด็ดขาด สำหรับท่านที่ยังไม่ชำนาญ หรือในกุ้งท้องแรก ให้ผ่านไปสัก 20 วัน ท่านค่อยไปดู หากกุ้งไข่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งสภาพน้ำที่ดี อุณหภูมิที่เย็นพอ ท่านได้ลูกกุ้งแน่นอน

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ความหมายและความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง

ความหมายและความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง | Duangjai Pliansree



ความหมายและความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง

P12964786-5
ความหมายคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถของชุมชน เมือง รัฐ หรือประเทศ ในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อเลี้ยงสังคมนั้น ๆ โดยรู้จักการพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ และไม่พึ่งพาปัจจัยการผลิตอื่น ที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของ
ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง
คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 30 ปี เพื่อนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในยามที่ประเทศประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจใน พ.ศ.2540 ภายหลังเมื่อได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้ประชาชนรอดพ้นและสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ว่า
"…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานจากมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงโดยลำดับต่อไป…"
ใน พ.ศ. 2540 เกิดปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอีกครั้ง เพื่อแนวทางแก้ปัญหาให้กับประเทศ
"…การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่าอุ้มชูตนเองได้ให้มีพอเพียงกับตนเอง อันนี้ก็เคยบอกว่าความพอเพียงไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก…"
คำว่า "พอเพียง" จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเต้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ณ ศาลาดุสิตดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานความหมายของคำว่า "พอเพียง" ไว้ว่า
"…คำว่าพอเพียงมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้แผลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเอง…"
"…ให้เพียงพอนี้หมายความว่ามีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือยไม่หรูหราก็ได้แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือยแต่ก็ทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรจะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ…"
"…Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่นอยู่ได้ด้วยตนเอง…"
https://i0.wp.com/4.bp.blogspot.com/-0nAa4sPLF_A/UAYrTCRlCxI/AAAAAAAAlSE/A7ZImu5vgiE/s1600/59zs6jznyi2.gif



Cr.tum

หลักการ ปรัชญา และกรอบแนวคิด

หลักการ ปรัชญา และกรอบแนวคิด | Duangjai Pliansree



หลักการ ปรัชญา และกรอบแนวคิด


หลักการของเศรษฐกิจพอเพียง
1. การพึ่งพาตนเอง เป็นการยึดหลักตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน รู้จักนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ รู้จักผลิตพืชให้เพียงพอกับความต้องการในการบริโภคของครัวเรือนก่อนหลังจากนั้นจึงผลิตเพื่อการค้า
2. การพึ่งพากันเอง จะให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มกันของชาวบ้าน เพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น การเกษตรแบบผสมผสาน การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแปรรูปอาหาร เป็นต้น ในปัจจุบันมีการดำเนินงานเพื่อสร้างรายได้ตามนโยบาย "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" เป็นการพัฒนาชุมชน และพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง แนวทางการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยมีเงื่อนไขพื้นฐาน คือ ความรู้ และคุณธรรม ซึ่งนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่สมดุล ยั่งยืน สามารถรับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
1. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
3. คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดังนี้
(1) ความพอประมาณ (Moderation) มีสองนัย คือ ความพอดี ไม่สุดโต่ง และการยืนได้บนขาของตนเอง (self-reliant) เป็นการดำเนินชีวิตอย่างทางสายกลาง โดยมีการกระทำไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไปในมิติต่างๆ เช่น การบริโภค การผลิตอยู่ในระดับสมดุล การใช้จ่าย การออมอยู่ในระดับที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง เป็นสิ่งที่ทำให้เราทำอะไรเต็มตามศักยภาพไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพื่อเป็นการยืนได้โดยลำแข้งของตนเอง
(2) ความมีเหตุผล (Reasonableness) หมายความว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ ที่มีความพอประมาณในมิติต่าง ๆ จะต้องมีสติรอบรู้คิดถึงระยะยาว ต้องมีเป้าหมาย และวิธีการที่เหมาะสม มีความรู้ในการดำเนินการ มีการพิจารณาจากเหตุ ปัจจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ต้องเป็นการมองระยะยาว ตลอดจนคำนึงถึงผลกระทบของการกระทำและความเสี่ยง จะทำให้มีความพอประมาณ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ความมีเหตุผลในทางปรัชญานี้ความหมายและนัยยะต่างกับ ความมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ เพราะความมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ เป็นมโนทัศน์เพื่อการวิเคราะห์ ที่สมมติว่า ผู้บริโภครู้ความพอใจของตนเองและมีพฤติกรรมการบริโภคที่มีความคงเส้นคงวา เช่น ถ้าชอบส้มมากกว่าเงาะ และชอบเงาะมากกว่ามังคุด ก็จะชอบส้มมากกว่ามังคุดด้วย นอกจากนี้ยังสมมติว่าผู้บริโภครู้วัตถุประสงค์ของตนเองและจะดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อจำกัดของงบประมาณ มีความเข้าใจว่า เศรษฐศาสตร์ทำให้คนมีความโลภ เพราะบอกว่าผู้บริโภคมีความต้องการไม่จำกัด และความพอใจได้จากการบริโภคสินค้าเท่านั้น การสรุปเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก เพราะความต้องการที่ไม่จำกัดนั้นเป็นการเปรียบเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นข้อสมมติแสดงถึงความขาดแคลน (Scarcity) ของทรัพยากร ทำให้ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ ส่วนการวิเคราะห์ที่สมมติให้ผู้บริโภคที่มีเหตุผลต้องการความพอใจสูงสุดจากการ
บริโภคสินค้าและบริการตามงบประมาณที่จำกัดนั้น เป็นข้อสมมติเบื้องต้นเพื่อหาอุปสงค์ของการบริโภคสินค้านั้น จึงต้องกำหนดความพอใจมากจากการบริโภคสินค้า การวิเคราะห์นี้สามารถขยายไปถึงความพอใจของผู้บริโภคไม่ได้อยู่กับการบริโภคสินค้าและบริการ แต่ขึ้นอยู่กับอย่างอื่นด้วย เช่น ความเท่าเทียมกันในสังคม สภาพแวดล้อมที่ดี การเป็นที่ยอมรับในสังคม นั้นคือวัตถุประสงค์ของผู้บริโภคจะเป็นการสร้างความพอใจที่ครอบคลุมมากกว่าการวิเคราะห์เบื้องต้น
(3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว (Self-immunity) พลวัตในมิติต่าง ๆ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในสภาวะต่าง ๆ อย่างรวดเร็วขึ้น จึงต้องมีการเตรียมตัวพร้อมรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ การกระทำที่เรียกได้ว่าพอเพียงไม่คำนึงถึงเหตุการณ์และผลในปัจจุบัน แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต ภายใต้ข้อจำกัดของข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และการมีภูมิคุ้มกันจะทำให้มีความพอเพียงแม้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดก็จะรับมือได้
4. เงื่อนไข การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
(1) เงื่อนไขความรู้ ได้แก่ มีความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ความรอบรู้ คือ มีความรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการใช้เป็นประโยชน์พื้นฐาน เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติอย่างพอเพียง การมีความรอบรู้ย่อมทำให้มีการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทั้งนี้รวมถึง ความรอบคอบ ความระมัดระวัง คือมีการวางแผน โดยสามารถที่จะนำความรู้และหลักวิชาต่าง ๆ มาพิจารณาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันและความมีสติ ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ ในการนำแผนปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนหลักวิชาต่าง ๆ เหล่านั้นไปใช้ ในทางปฏิบัติโดยมีการปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมทั้งกายภาพและทางสังคมด้วย
(2) เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งครอบคลุมคนทั้งชาติ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ นักธุรกิจ มีสองด้านคือ ด้านจิตใจ/ปัญญา และด้านการกระทำ ในด้านแรกเป็นการเน้นความรู้คู่คุณธรรม ตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความรอบรู้ที่เหมาะสม ส่วนด้านการกระทำหรือแนวทางดำเนินชีวิต เน้นความอดทน ความเพียร สติปัญญา และความรอบคอบ  เงื่อนไขนี้จะทำให้การปฏิบัติตามเนื้อหาของความพอเพียงเป็นไปได้ ทำให้ตนเองไม่มีความโลภ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือสังคม เพราะการมีความโลภจะทำให้ทำอะไรสุดโต่ง ไม่นึกถึงความเสี่ยง ไม่รู้จักพอ มีโอกาสที่จะกระทำการทุจริต
https://i1.wp.com/dit.dru.ac.th/ka/images/a4_2.jpg


Cr.tum